Free JavaScript from 
Rainbow Arch

//////////////

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผลิตภัณฑ์แคลเซียมD990 เพิ่มความสูง เห็นผลเร็ว นำเข้าจากออสเตรเลียค่ะ สนใจติอต่อ 087-6839860 คุณณัฐภัทร


ผลิตภัณฑ์แคลเซียม D990 เพิ่มความสูง เห็นผลเร็ว นำเข้าจากออสเตรเลีย



***คุณมีปัญหาเกี่ยวกับความสูงหรือไม่?
        สุดยอดผลิตภัณฑ์ช่วยเรื่องความสูงโดยตรงแม้กรรมพันธุ์ของท่านจะไม่สูง Calcium D990 เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ลิขสิทธ์ของบริษัท HOOGER ซึ่งเป็นบริษัทยาชั้นนำในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพมาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ท่านจึงสามารถมั่นใจในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ได้ว่า สามารถใช้แล้วได้ผลจริง

คุณสมบัติของ Calcium D990
1. เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับโดยคณะแพทย์ในประเทศออสเตรเลียว่า สามารถเพิ่มความสูงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ

2. ยอดขายเป็นอันดับหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มอายุ 13 ปีขึ้นไป

3. เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากห้องทดลองในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า สามารถช่วยให้สูงขึ้นจริง โดยไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด

4. ประกอบไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและความสูงโดยตรง เช่น แคลเซียม วิตามินดี แมกนีเซียม ในปริมาณที่เหมาะสม ที่ได้จากการทดลองและวิจัยมาแล้ว

5. ปลอดภัยเพราะไม่มีส่วนผสมของสารสังเคราะห์และสามารถใช้ได้กับทุกเพศและทุกวัย

6. ช่วยทำให้คนที่ต้องการมีความสูงมากขึ้น สมหวังนอกเหนือจากการออกกำลังกายอย่างเดียว

7. แม้กรรมพันธุ์ของท่านจะไม่สูง แต่ CalciumD 990 สามารถช่วยเพิ่มความสูงให้ท่านได้ เพราะมีสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตได้จริง



**ขนาดบรรจุ
1 กล่องบรรจุตัวยา 60 เม็ด ทานได้ 1 เดือน ตัวกล่อง zeal อย่างดี และสามารถเก็บยาได้ 2 ปีเต็ม

ขนาดรับประทาน
- อายุ 7-12 ปี : 1 เม็ดต่อวัน พร้อมอาหารมื้อหลัก
- อายุ 13 ปีขึ้นไป : 2 เม็ดต่อวัน พร้อมอาหารมื้อหลักหรือน้ำเปล่า

***สนใจโทร 087-6839860  คุณณัฐภัทร





วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

...เรื่องกล้วยๆ...

เรื่องกล้วยๆ
21 เม.ย. 56 21 16:20:50 น. | เปิดอ่าน 141 ครั้ง

...เรื่องกล้วยๆ...
เขียนที่โรงเรียนศิลปะแหลมคม
วันเสาร์ที่ห้า กุมภาพันธ์ สองห้าห้าสี่
จำไว้ว่า - เรามักง่ายกับชีวิต โดยปล่อยให้มันผ่านไปวันๆ โดยลืมไปว่าเราแก่ตัวลงทุกๆ วัน เพราะคำประโยคเดียว...

“เอาไว้ก่อน”
....แล้วเราก็ป่วย
แต่เมื่อเราป่วย คนรอบๆ ตัวเรา...ใจก็จะป่วยไปด้วย
เรากำลังป่วย และเราก็ทำร้ายคนที่รักเราไปด้วยพร้อมๆ กัน
เพราะคำๆ เดียวด้วยความมักง่าย ...“เอาไว้ก่อน”
• ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น คือการรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี 
• เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดที่ปล่อยให้ตัวเองป่วย แล้วต้องให้ผู้อื่นมาดูแลเอาใจ 
• น่าละอาย ที่ต้องมีคนมาป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ด-เก็บธุระส่วนตัว 

ครูแหลมมีปรัชยาไส้ ง่ายๆ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข...มาฝากครับ

เดินทุกวัน  กินให้รู้  ถ่ายให้ดู  อยู่ให้เป็น 

ชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่เราไม่ทำร้ายตัวเอง ด้วยการตามใจลิ้น และขี้เกียจลุกขึ้นเดิน
เมื่อมีความสุขเพียงพอ ต่อความต้องการ เราต้องสร้างบุญกุศล จุนเจือสังคม
ถ้าเราไม่สะสมบุญบารมีให้เพียงพอ อย่าหวังว่าเมื่อเราเจ็บไข้จะมีคนมาดูแล

credit : นิตยสารสุขกาย สบายใจ เดือนเมษายน 2554

"เป็นสุข" โดยไม่ต้องเพอร์เฟ็ค

 วิธีคิดเรื่องความสมบูรณ์แบบนี้ ส่วนใหญ่มีที่มาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็ก การเลี้ยงดูจากพ่อแม่ บรรยากาศในครอบครัว ค่านิยมที่ถูกปลูกฝังจากครู ผู้ใหญ่ ที่เน้นให้เป็นคนเก่ง คนดี ทำอะไรได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด  มีระเบียบวินัยอย่างดี จึงจะเป็นที่รัก ได้รับความชื่นชม เห็นว่ามีค่า

 การคาดหวังความสมบูรณ์แบบของคนเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน เกิดกับตัวเองหรือกับผู้อื่น แต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่มักเป็นการคาดหวังความสมบูรณ์แบบจากคนอื่น ในบ้าน หรือในที่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบอีกชนิดหนึ่งโดยเรียกร้องจากตนเอง มากเกินควร วิธีคิดของคนกลุ่มนี้คือ คนดีต้องให้ความสำคัญต่อความต้องการของคนอื่นมาก่อนความต้องการของตนเองเสมอ
 การดำเนินชีวิตของแต่ละคนจะต้องประสบกับปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ ได้ ซึ่งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยภาย นอกตัวเองคือ คนอื่นที่เป็นสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เพราะคนแต่ละคนมีบุคลิก ลักษณะ อุปนิสัยใจคอแตกต่างกัน ความสามารถรับผิดชอบแตกต่างกัน 

 การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใจคอของคนแต่ละคนให้สำเร็จเป็นเรื่องที่ยากมาก ในความเป็นจริงชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยความสมบูรณ์แบบมีแต่เพียงในเทพนิยาย เท่านั้น ดังนั้น เราทุกคนจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง ความไม่สมบูรณ์แบบ อย่างมีความสุขให้ได้  สำหรับผู้ที่กำลังเครียดหรือมีความทุกข์จากปัญหาลักษณะนี้และ ต้องการชีวิตที่มีความสุขจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน วิธีคิดและวิธีปฏิบัติ โดยสามารถพิจารณาคำแนะนำต่อไปนี้ และนำไปปรับใช้ในชีวิตของ ตนเองตามที่เห็นสมควร
1. ในแต่ละวันควรต้องหาเวลาผ่อนคลายจากความเครียด พักสมอง พักจิตใจ พักอารมณ์ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อที่ความเครียดจะได้ไม่สะสม ด้วยกิจกรรมที่ตนเองชอบ การได้มีเวลาผ่อนคลายจะช่วยให้มองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยอา รมณ์ขุ่นมัวน้อยลง มีสติมากขึ้น การตัดสินใจแก้ปัญหาก็จะดีขึ้น ผิดพลาดน้อยลง

2. พยายามฝึกมองสิ่งต่างๆในแง่บวกให้ได้ มองข้อดีของสิ่งที่ตนเองได้รับและชื่นชมข้อดีนั้น ไม่ใช่มุ่งมองแต่ข้อที่ขาดไปหรือข้อเสียเท่านั้น การสามารถมองด้านบวกได้จะทำ ให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้แก้ไขปัญหา

3. เตือนตัวเองว่าการไม่สมบูรณ์แบบไม่ใช่แปลว่าเราใช้ไม่ได้ เราไม่ได้อยู่ในโลกที่ สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครในโลกที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัด เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหา การตั้งเป้าหมาย หรือการตั้งความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆ ต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดและพื้นฐานความเป็นจริงของปัจจัยแวดล้อมด้วย

 4. เนื่องจากเรื่องที่ต้องรับผิดชอบของแต่ละคนมีหลายเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่องต้องได้ผลสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้การจัดลำดับความสำคัญของภาระแต่ละเรื่อง ถ้าทำได้ดีจะช่วยลดความเครียดและแรงกดดันต่อตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้างได้ อย่างมาก

5. นอกจากการตั้งเป้าและการจัดลำดับความสำคัญแล้ว วิธีการสื่อสารกับคนในบ้านหรือในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องสามารถมองเห็นบ้านหรือในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องสามารถมองเห็นข้อดี ชื่นชมกัน ให้กำลังใจกัน ให้เกียรติกัน ไม่ใช่มองแต่ข้อเสีย และถึงแม้เห็นข้อเสียในตัวคนอื่นและต้องการให้เขาปรับ ปรุงก็ต้องมีวิธีการพูดที่เหมาะสม งานจะสำเร็จด้วยดีต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมงานหรือทีมงาน
6. เตือนตัวเองว่าทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้แม้แต่ตัวเราเอง ถ้าเราทำผิดพลาดก็ให้ยอมรับผิด อย่ากังวลเรื่องเสียหน้า อย่าปัดความรับผิดชอบ ผู้ร่วมงานจะให้โอกาส ให้การยอมรับ และให้ความร่วมมือ ทำให้งานเดินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังอาจต้องฝึกการให้อภัยกับความผิดพลาดที่เกิดจากผู้อื่นหรือแม้ แต่ตัวเองด้วย เพื่อที่ว่าความโกรธ ความไม่พอใจ อารมณ์ขุ่นมัวทั้งหลายจะได้ไม่ตกค้าง สะสมอยู่ในใจ แล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา

credit: http://www.happynowtv.com/


วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ขนมมาการอง (Macaron)


คุณลักษณะของมาการองที่ดี จะต้องมีรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างไส้กานาชและเนื้อคุกกี้ ส่วนสูงที่สมดุลของตัวคุกกี้ชิ้นบนและล่างที่มีขนาดเท่า ๆ กัน รวมทั้งไส้ที่บีบพอดีขอบให้เห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ตลอดทั้งชิ้น






ขนมมาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส มีส่วนประกอบหลักของ Almond น้ำตาล และไข่ขาว มีลักษณะคล้ายคุ้กกี้ชิ้นเล็กสองอันประกบกันมีไส้ตรงกลาง มีสีสันสดใส กรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ตรงกลางด้วยกานาช (Ganache) มีหลายรสชาติ เช่น ช็อกโกแลต สตรอเบอร์ รี่ วานิลลา อัลมอนด์ หรือผลไม้ตามฤดูกาล เป็นต้น และมักนิยมทานคู่กับชา หรือ กาแฟ


มาการอง เป็นที่รู้จักครั้งแรกในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง เนื้อสัตว์ โปรตีนไม่มีให้รับประทานมากมายนัก เหล่าแม่ชีชาวอิตาเลียนที่อพยพมายังประเทศฝรั่งเศสจึงดำรงชีพอยู่ด้วยอัลมอนด์ เพราะมีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้เนื้อสัตว์ โดยนำมาประกอบเป็นอาหารหรือขนมหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ ขนมจากอัลมอนด์ ซึ่งต่อมากลายเป็นของหวานที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบมาจนถึงปัจจุบัน

สเน่ห์ของมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเท่านั้น ว่ากันว่ามาการองที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่รูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ส่วนที่สำคัญคือ “Foot” บางตำราเรียก ”Skirt” รอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงที่บางกรอบ ซึ่งมีวิธีการทำที่ยุ่งยากพอควร อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ กลิ่นหอมหวาน เคล็ดลับอยู่ที่หลังจากนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันแล้ว ต้องเก็บไว้ในที่เย็น 1 คืน เพื่อให้ไส้รสชาติต่าง ๆ ซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ นอกจากนี้ความชื้นจากไส้ยังทำให้มากาฮองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวอีกด้วย

มาการองเรนโบว์
ส่วน มาการูน (Macaroon) คือขนมที่ชาวอเมริกันดัดแปลงจากมากาฮองของประเทศฝรั่งเศสโดยใช้มะพร้าวป่น แทนอัลมอนด์บด ทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกขนมชนิดนี้ว่า “Coconut Macaroon” นิยมจุ่มลงในซอสช็อกโกแลตก่อนรับประทาน แต่ในศตวรรษที่ 20 ของหวานสไตล์ฝรั่งเศส เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศสหรัฐอเมริกา มาการูน จึงได้รับความนิยมน้อยลง บวกกับมะพร้าวหาได้ยากและมีราคาแพง ร้านขนมต่าง ๆ จึงหันมาใช้อัลมอนด์บดเหมือนมากาฮอง อันเป็นที่มาของความสับสนระหว่าง 2 คำนี้
**ใน ประเทศอังกฤษ ยังเรียก “Macaron” ว่า “Macaroon” เนื่องจากเป็นที่รู้จักและมีความเป็นสากลมากกว่า**

credit : นิตยสาร Food Paperฉบับที่ 70เดือนมีนาคม 2553หน้า 18-19

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

Mini Berries Cheese Cake มินิเบอรี่ชีสเค้ก
























ส่วนผสม
แครกเกอร์บดละเอียด 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
เนยละลาย 6 ช้อนโต๊ะ
ครีมชีส(8 ออนซ์) 2 ก้อน (อุณภูมิห้อง )
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
วิปปิ้งครีม 6 ช้อนโต๊ะ
ซาวด์ครีม 1/2 ถ้วย (ส่วนตัวใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทน)
ไข่ไก่ 2 ฟอง (อุณภูมิห้อง)
กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
ผิวเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ (ส่วนตัวตอนทำไม่ได้ใส่ผิวเลมอน เป็นมะนาวลูกเหลืองๆ มีแต่มะนาวเขียวเลยบีบน้ำใส่ไปแทน รสชาติใช้ได้เลยนะ ใส่ไป 1 ลูกค่ะ)

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 325 F
2. นำแครกเกอร์บดกับเนยละลายและน้ำตาลให้ชามผสม ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นนำไปกรุในพิมพ์ Spingfrom ขนาด 9 นิ้ว ที่เตรียมไว้แล้วพักไว้ก่อน
3. ตีครีมชีสกับน้ำตาลใช้ความเร็วต่ำให้เนียน จากนั้นใส่แป้ง แล้วใส่ไข่ลงไปทีละฟอง ตีผสมให้เข้ากันดี เติมวิปปิ้งครีม ซาวด์ครีม กลิ่นวานิลลาและผิวมะนาวตามลงไป ตีผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อครีมเนียนจากนั้นเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้
4. อบชีสเค้กในเตาอบเป็นเวลา 45-60 นาที เมื่ออบเสร็จให้ปิดเตาอบแล้วทิ้งเค้กใว้ในเตาอบประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อกันไม่ให้เค้กหน้าแตก แล้ววางให้เย็นในอุณหภูมิห้อง ประมาณ 2 ชั่วโมง จึงนำเข้าแช่ตู้เย็น อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเสริฟ เวลาจะเสิร์ฟก็ตกแต่ง ด้วย ซอสผลไม้ หรือ Topping อื่นๆ ตามชอบได้เลย

สูตรนี้ตามเจ้าของสูตรเค้าอบในพิมพ์ขนาด 9 นิ้ว ดิฉันดัดแปลงตามใจตัวเองอีกแล้วอ่ะค่ะ ก็ออกมาอย่างที่เห็น ใช้ได้เหมือนกันนะ
ส่วนท็อปปิ้งก็ใช้เบอรี่กระป๋องที่เค้าไว้แต่งหน้าเค้ก มาราดง่ายดี แล้วแต่งด้วยเบอรี่สดให้ดูหรูหราขึ้น..

credit :  http: //thailyblog.blogspot.com/2009/08/mini-berry-cheese-cake.html

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี

ใคร.. ที่ชอบและอยากสานต่อความทรงจำที่ขาดหาย ตลาดคลองสวน ช่วยเติมเต็มได้

รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี
รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี
เราทุกคนล้วนแต่ผ่านวัยเด็ก และมีความทรงจำในความสนุกสนานที่ไม่เคยเลือนหาย เมื่อเวลาผ่านไปไม่ว่าจะมากหรือน้อย หากเราสามารถเรียกคืนความประทับใจในวัยเยาว์กลับมาได้ ก็เหมือนความสุข ความสนุก ที่ห่างหายได้ถูกเติมเต็มอีกครั้ง ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ยังมีชุมชนโบราณอายุกว่า 100 ปี ที่ซุ่มซ่อนตลาดเก่าแก่ และสภาพชุมชนแบบดั้งเดิมเอาไว้ ด้วยเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครตรงที่เป็นดินแดนสองจังหวัด นั่นคือ “ ตลาดคลองสวน 100 ปี ” ชุมชนเก่าแก่ที่ดำรงชีวิตด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายแตกต่าง แต่กลมกลืนและเหนียวแน่นมากว่า 100 ปี สมกับชื่อที่จารึกเรียกขานไว้ ด้วยว่าเป็นชุมชนที่มีทั้งชาวจีน ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยพุทธ เกื้อกูลอยู่รวมกัน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อนกี่หนาว ผ่านเรื่องราวใดๆ มาก็ตาม แต่รากเหง้าของชุมชนแห่งนี้ก็ไม่มีจืดจางลงแต่อย่างใด

รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี

 รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี
ตลาดคลองสวน 100 ปี เป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ ในอดีตคลองสวนเป็นเส้นทางสำหรับเดินทางไปกรุงเทพมหานคร จากประตูน้ำท่าถั่ว (ฉะเชิงเทรา) แล่นผ่านตลาดคลองสวน ก่อนจะแล่นเข้าสู่ประตูน้ำ (วังสระปทุม) กรุงเทพมหานคร ปัจจุบัน ตลาดคลองสวน 100 ปี อยู่ในความดูแลของสำนักงานเทศบาลตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และสำนักงานเทศบาลตำบลคลองสวน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ที่ได้สนับสนุนให้ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์บ้านเรือน ที่ยังคงเอกลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้างแบบโบราณ เช่นเดียวกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่สืบทอดจากรุ่นต่อรุ่นกันมา ชุมชนแห่งนี้จึงยังคงไว้ซึ่งความเรียบง่าย อบอุ่น จริงใจ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบอย่างของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่มาในรูปของชุมชนเก่าได้อย่างน่าชื่นชม
รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี
รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี
แต่เดิมนั้น ตลาดคลองสวน เป็นตลาดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในยุคที่การค้าการสัญจรยังต้องพึ่งพาการเดินทางโดยเรือเป็นหลัก สมัยนั้นการจะเดินทางระหว่างเมืองแปดริ้ว หรือฉะเชิงเทรา เพื่อมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะต้องใช้เรือเมล์ขาวของนายเลิศ รับคนจากประตูน้ำท่าถั่ว ผ่านตลาดคลองสวน ก่อนจะแล่นเข้าสู่ประตูน้ำ (วังสระปทุม) ซึ่ง ตลาดคลองสวน แห่งนี้ ถือเป็นจุดแวะพักของเรือในสมัยนั้น นั่นจึงทำให้เกิดเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้า และเป็นเส้นทางคมนาคมตามมา ก่อนจะขยับยายกลายเป็นชุมชนของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา และน่าจะถือว่าเป็นชุมชนต้นตำรับของสภากาแฟที่คนหนุ่มสาวและผู้เฒ่าผู้แก่ จะมาสังสรรค์เสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองกันให้เห็นชินตาในทุกๆ เช้า อย่างนี้นี่เล่า คือที่มาของ “สภากาแฟ” ที่แท้จริง

ปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตของ ชาวคลองสวน ทั้งชาวไทยจีน ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ก็ยังคงเหนียวแน่นดังเช่น 100 กว่าปีที่ผ่านไป ไม่แปลกที่จะพานพบโรงเจ วัด สุเหร่า ปลูกสร้างไร่เรียงกันไปอย่างไม่แปลกแยก ตลาดคลองสวน 100 ปี ในปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสองหน่วยงานในสองจังหวัด คือ สำนักงานเทศบาลตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และ สำนักงานเทศบาลตำบลคลองสวน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยยังคงเน้นให้ชุมชนมีความเรียบง่ายตามวิถีดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเพิ่มเข้ามาให้ชุมชนเป็นที่รู้จักมากขึ้น

เมื่อแรกมาเยือน เราก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบชุมชนชานเมือง ร้านค้าที่เราคุ้นเคยมาแต่เล็กซึ่งปัจจุบันถูกเลือนหายไปจากความสะดวกสบาย ของห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ ไม่มีปรากฏให้รกสายตาที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี แห่งนี้ หากอยากจับจ่าย ที่นี่จะเต็มไปด้วยร้านค้าปลีกหรือที่เรียกว่า “ร้านโชห่วย” เรียงราย ของกินของใช้จุกจิกไปจนถึงสิ่งจำเป็นขนาดใหญ่ๆ ถามได้ มาถามได้ เพราะเขายังคงค้าขายกันเหมือนในอดีตที่เคยเป็นมา

ตลาดคลองสวน ยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องความอร่อย อาหารจานพื้นๆ ที่นี่ขอบอกว่ารสชาติไม่พื้น เพราะเขายืนตามสูตรดั้งเดิมที่ทำกินกันมา ไม่แปลงเครื่องปรุงให้ผิดกลิ่นเพี้ยนรส จึงมั่นใจได้ว่าแต่ละเมนูนั้นถือเป็น “ต้นตำรับ” ไม่ว่าจะเป็น เป็ดพะโล้ ไก่พะโล้ สูตรโบราณแท้ๆ ไม่ต้องอาศัยคำมาห้อยท้าย หรือข้าวห่อใบบัวราคาเบาๆ แต่แน่นด้วยเครื่องเคราคุณภาพดีเช่นเดียวกับบ๊ะจ่างลูกโตๆ หรือจะล้างปากด้วยกาแฟ ที่นี่ก็มีร้านเด็ดชื่อดังอย่าง “แป๊ะหลี” กาแฟชงกลมกล่อมรสดีที่ขายกันมากว่า 70 ปี บวกกับสำเนียงเสียงพูดที่กล่าวต้อนรับทุกคนที่เข้ามาภายในตลาดและเป็นกันเอง ทำให้ร้านกาแฟโบราณของ “แป๊ะหลี” กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์อีกอย่างของตลาดคลองสวนแห่งที่ต้องเข้าไปสัมผัส
รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี
รำลึกวัยเยาว์ กินขนม-ชมของเล่นเก่า ที่ ตลาดคลองสวน 100 ปี

จุดเด่นของตลาดอีกอย่างก็คือ “สะพานสูง” ที่ตั้งอยู่โดดเด่นกลางตลาด เป็นสะพานไม้ที่มีความสูงและชันมาก และเมื่อเดินขึ้นไปข้างบนสะพานจะโยกเล็กน้อย ทำให้เป็นสะพานที่ต้องใช้ความกล้าในการข้ามพอสมควร แต่ชาวตลาดเขาก็ใช้สะพานแห่งนี้ข้ามไปข้ามมาเป็นประจำ นี้ชื่อ “อัศวาณิชย” ได้รับการซ่อมแซมมาแล้วหลายครั้งแล้ว เหตุที่ต้องสูงมากขนาดนี้ก็เพราะว่าในสมัยก่อนมีเรื่องขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ จะต้องผ่านคลองนี้ จึงต้องสร้างให้สูงเพื่อให้พ้นเรือขนาดใหญ่ แม้ในปัจจุบันไม่มีเรือใหญ่ผ่านแล้ว ชุมชนก็ยังคงอนุรักษ์สะพานนี้ไว้ให้คงอยู่เป็นอนุสรณ์บนพื้นน้ำ และอยู่กับชุมชนตลาดคลองสวนต่อไป

 

การเดินทางมายัง ตลาดคลองสวน สามรถเดินทางมาได้ในหลายรูปแบบ

เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว สามารถไปได้ทาง 3 ทาง คือ ใช้ถนนทางด่วนมอเตอร์เวย์ สังเกตป้ายชี้ ตลาดคลองสวน 100 ปี เลี้ยวซ้าย หรือถนนสายอ่อนนุช – ฉะเชิงเทรา ผ่านเทคโนลาดกระบังขับตรงไปตลอด ตลาดคลองสวน 100 ปี อยู่ด้านซ้ายมือ

หรือจะมาทางถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 35 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนทางไป Thai Country Club ประมาณ 15 กิโลเมตร จนเจอถนนหมายเลข ฉช 3001 เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 2 กิโลเมตร ทางเข้าตลาดอยู่กิโลเมตรที่ 9-10 หรือ กิโลเมตรที่ 10-11 หรืออยากสะดวกสบาย ก็จะมีรถประจำทางจากสถานีขนส่งเอกมัย (บริษัท ฉะเชิงเทราขนส่ง) สายเอกมัย ฉะเชิงเทรา (สาย 55) ไว้คอยบริการ

ใครที่ชอบบรรยากาศของวันวาน อยากสานต่อความทรงจำที่ขาดหายไปให้กลับมามีชีวิตชีวาโดยที่ไม่เสียเวลาเดิน ทางจากเมืองกรุงมากนัก ตลาดคลองสวน 100 ปี ที่ยังอบอวลด้วยมนต์แห่งอดีต น่าจะช่วยเติมเต็มได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


credit:   http://www.emaginfo.com ร่วมกับ travel.mthai.com

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ดับเบิ้ลช็อกโกแลตคัพเค้ก Double Chocolate Cupcake

คัพเค้กเนื้อบัตเตอร์ที่หอมหวานด้วยกลิ่นบัตเตอร์ กรุบกรอบด้วยช็อคโกแลต 2 ชนิด และยังมีหน้าท๊อปปิ้งไอซิ่งที่ใส่โอริโอ้อย่างจุใจ ใครรักในช็อคโกแลคตัวนี้ต้องห้ามพลาดเลยค่ะ ^^

สูตรดับเบิ้ลช็อกโกแลตคัพเค้ก Double Chocolate Cupcake

ส่วนผสมสำหรับ : 10-12 ชิ้น
เวลาในการทำ : 1 ชั่วโมง 30 นาที

อุปกรณ์

1. แม่พิมพ์คัพเค้ก
2. กระดาษถ้วยคัพเค้ก
3. ตะกร้อตีไข่
4. ชามผสม
5. ที่ตักไอศกรีม
6. ถุงบีบแต่งหน้าเค้ก
7. ถุงพลาสติก

 #2  URL <input style='width: 400px' type=text value = 'http://data.foodtravel.tv/datastore/recfood/1204/recfood1204_1_normal.jpg' />         <script language='javascript1.1' src='http://hits.truehits.in.th/data/t0029930.js'></script><NOSCRIPT><a target='_blank' href='http://truehits.net/stat.php?id=t0029930'> <img src='http://hits.truehits.in.th/noscript.php?id=t0029930' alt='Thailand Web Stat' border=0 width=14 height=17></a><a target='_blank' href='http://truehits.net/'>Truehits.net</a></NOSCRIPT>
ส่วนผสมดับเบิ้ลช็อกโกแลตคัพเค้ก

เนื้อเค้ก
1. แป้งเค้ก 150 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. เนย 200 กรัม
4. น้ำตาลไอซิ่ง 100 กรัม
5. ไข่ไก่ 3 ฟอง
6. กลิ่นวนิลา 1/2 ช้อนชา
7. กลิ่นวนิลาบัตเตอร์ 1/2 ช้อนชา
8. ช็อคโกแลต (หั่นเต๋า) 100 กรัม
9. ไวท์ช็อคโกแลต (หั่นเต๋า) 100 กรัม

ท๊อปปิ้งไอซิ่ง Topping Icing
1. ไอซิ่ง 350 กรัม
2. โอรีโอ้ 100 กรัม
3. เนย 500 กรัม



วิธีทำดับเบิ้ลช็อกโกแลตคัพเค้ก
1. อุ่นเตาที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส
2. นำเนยอุณหภูมิห้องตักใส่ชามผสมที่เตรียมไว้
3. ใช้ตระกร้อตีครีมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
4. ใส่ไอซิ่ง ตีผสมต่อจนเป็นครีม
5. ใส่ไข่ไก่ลงไปตีจนส่วนผสมเข้ากันไม่แตกตัว
6. ร่อนแป้งเค้กและผงฟูรวมกัน ใส่ลงในชามผสม
7. ตีต่อจนเข้ากันดี
8. ใส่กลิ่นวนิลาและกลิ่นวนิลาบัตเตอร์
9. คนต่อจนผสมกันทั้งหมด
10. ใส่ช็อคโกแลตและไวท์ช็อคโกแลตครึ่งหนึงของส่วนผสม
11. ใช้พายยางตะล่อมพอเข้ากัน
12. ตักใส่ถ้วยกระดาษที่กรุดอยู่บนแม่พิมพ์
13. นำช็อคโกแลตที่เหลือมาโรยแต่งหน้าเค้ก
14. อบที่ 175 องศาเซลเซียล นาน 25 นาที
15. เมื่อสุกนำมาพักบนตะแกรงจนเย็น

วิธีทำ Topping Icing

1. ตักเนยที่อุณหภูมิห้องใส่ในชามผสม
2. ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ใส่ไอซิ่งทั้งหมดผสมให้เข้ากันจนเป็นครีม
4. บดโอรีโอ้ให้ละเอียด
5. เทใส่ในครีมที่ตีไว้
6. คนจนเข้ากัน
7. นำมาแต่งหน้าคัพเค้กตามชอบ


credit: http://www.foodtravel.tv/