Free JavaScript from 
Rainbow Arch

//////////////

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

...เรื่องกล้วยๆ...

เรื่องกล้วยๆ
21 เม.ย. 56 21 16:20:50 น. | เปิดอ่าน 141 ครั้ง

...เรื่องกล้วยๆ...
เขียนที่โรงเรียนศิลปะแหลมคม
วันเสาร์ที่ห้า กุมภาพันธ์ สองห้าห้าสี่
จำไว้ว่า - เรามักง่ายกับชีวิต โดยปล่อยให้มันผ่านไปวันๆ โดยลืมไปว่าเราแก่ตัวลงทุกๆ วัน เพราะคำประโยคเดียว...

“เอาไว้ก่อน”
....แล้วเราก็ป่วย
แต่เมื่อเราป่วย คนรอบๆ ตัวเรา...ใจก็จะป่วยไปด้วย
เรากำลังป่วย และเราก็ทำร้ายคนที่รักเราไปด้วยพร้อมๆ กัน
เพราะคำๆ เดียวด้วยความมักง่าย ...“เอาไว้ก่อน”
• ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น คือการรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี 
• เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดที่ปล่อยให้ตัวเองป่วย แล้วต้องให้ผู้อื่นมาดูแลเอาใจ 
• น่าละอาย ที่ต้องมีคนมาป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ด-เก็บธุระส่วนตัว 

ครูแหลมมีปรัชยาไส้ ง่ายๆ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข...มาฝากครับ

เดินทุกวัน  กินให้รู้  ถ่ายให้ดู  อยู่ให้เป็น 

ชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่เราไม่ทำร้ายตัวเอง ด้วยการตามใจลิ้น และขี้เกียจลุกขึ้นเดิน
เมื่อมีความสุขเพียงพอ ต่อความต้องการ เราต้องสร้างบุญกุศล จุนเจือสังคม
ถ้าเราไม่สะสมบุญบารมีให้เพียงพอ อย่าหวังว่าเมื่อเราเจ็บไข้จะมีคนมาดูแล

credit : นิตยสารสุขกาย สบายใจ เดือนเมษายน 2554

"เป็นสุข" โดยไม่ต้องเพอร์เฟ็ค

 วิธีคิดเรื่องความสมบูรณ์แบบนี้ ส่วนใหญ่มีที่มาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็ก การเลี้ยงดูจากพ่อแม่ บรรยากาศในครอบครัว ค่านิยมที่ถูกปลูกฝังจากครู ผู้ใหญ่ ที่เน้นให้เป็นคนเก่ง คนดี ทำอะไรได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด  มีระเบียบวินัยอย่างดี จึงจะเป็นที่รัก ได้รับความชื่นชม เห็นว่ามีค่า

 การคาดหวังความสมบูรณ์แบบของคนเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน เกิดกับตัวเองหรือกับผู้อื่น แต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่มักเป็นการคาดหวังความสมบูรณ์แบบจากคนอื่น ในบ้าน หรือในที่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบอีกชนิดหนึ่งโดยเรียกร้องจากตนเอง มากเกินควร วิธีคิดของคนกลุ่มนี้คือ คนดีต้องให้ความสำคัญต่อความต้องการของคนอื่นมาก่อนความต้องการของตนเองเสมอ
 การดำเนินชีวิตของแต่ละคนจะต้องประสบกับปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ ได้ ซึ่งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยภาย นอกตัวเองคือ คนอื่นที่เป็นสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เพราะคนแต่ละคนมีบุคลิก ลักษณะ อุปนิสัยใจคอแตกต่างกัน ความสามารถรับผิดชอบแตกต่างกัน 

 การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใจคอของคนแต่ละคนให้สำเร็จเป็นเรื่องที่ยากมาก ในความเป็นจริงชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยความสมบูรณ์แบบมีแต่เพียงในเทพนิยาย เท่านั้น ดังนั้น เราทุกคนจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง ความไม่สมบูรณ์แบบ อย่างมีความสุขให้ได้  สำหรับผู้ที่กำลังเครียดหรือมีความทุกข์จากปัญหาลักษณะนี้และ ต้องการชีวิตที่มีความสุขจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน วิธีคิดและวิธีปฏิบัติ โดยสามารถพิจารณาคำแนะนำต่อไปนี้ และนำไปปรับใช้ในชีวิตของ ตนเองตามที่เห็นสมควร
1. ในแต่ละวันควรต้องหาเวลาผ่อนคลายจากความเครียด พักสมอง พักจิตใจ พักอารมณ์ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อที่ความเครียดจะได้ไม่สะสม ด้วยกิจกรรมที่ตนเองชอบ การได้มีเวลาผ่อนคลายจะช่วยให้มองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยอา รมณ์ขุ่นมัวน้อยลง มีสติมากขึ้น การตัดสินใจแก้ปัญหาก็จะดีขึ้น ผิดพลาดน้อยลง

2. พยายามฝึกมองสิ่งต่างๆในแง่บวกให้ได้ มองข้อดีของสิ่งที่ตนเองได้รับและชื่นชมข้อดีนั้น ไม่ใช่มุ่งมองแต่ข้อที่ขาดไปหรือข้อเสียเท่านั้น การสามารถมองด้านบวกได้จะทำ ให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้แก้ไขปัญหา

3. เตือนตัวเองว่าการไม่สมบูรณ์แบบไม่ใช่แปลว่าเราใช้ไม่ได้ เราไม่ได้อยู่ในโลกที่ สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครในโลกที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัด เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหา การตั้งเป้าหมาย หรือการตั้งความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆ ต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดและพื้นฐานความเป็นจริงของปัจจัยแวดล้อมด้วย

 4. เนื่องจากเรื่องที่ต้องรับผิดชอบของแต่ละคนมีหลายเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่องต้องได้ผลสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้การจัดลำดับความสำคัญของภาระแต่ละเรื่อง ถ้าทำได้ดีจะช่วยลดความเครียดและแรงกดดันต่อตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้างได้ อย่างมาก

5. นอกจากการตั้งเป้าและการจัดลำดับความสำคัญแล้ว วิธีการสื่อสารกับคนในบ้านหรือในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องสามารถมองเห็นบ้านหรือในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องสามารถมองเห็นข้อดี ชื่นชมกัน ให้กำลังใจกัน ให้เกียรติกัน ไม่ใช่มองแต่ข้อเสีย และถึงแม้เห็นข้อเสียในตัวคนอื่นและต้องการให้เขาปรับ ปรุงก็ต้องมีวิธีการพูดที่เหมาะสม งานจะสำเร็จด้วยดีต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมงานหรือทีมงาน
6. เตือนตัวเองว่าทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้แม้แต่ตัวเราเอง ถ้าเราทำผิดพลาดก็ให้ยอมรับผิด อย่ากังวลเรื่องเสียหน้า อย่าปัดความรับผิดชอบ ผู้ร่วมงานจะให้โอกาส ให้การยอมรับ และให้ความร่วมมือ ทำให้งานเดินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังอาจต้องฝึกการให้อภัยกับความผิดพลาดที่เกิดจากผู้อื่นหรือแม้ แต่ตัวเองด้วย เพื่อที่ว่าความโกรธ ความไม่พอใจ อารมณ์ขุ่นมัวทั้งหลายจะได้ไม่ตกค้าง สะสมอยู่ในใจ แล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา

credit: http://www.happynowtv.com/


วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ขนมมาการอง (Macaron)


คุณลักษณะของมาการองที่ดี จะต้องมีรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างไส้กานาชและเนื้อคุกกี้ ส่วนสูงที่สมดุลของตัวคุกกี้ชิ้นบนและล่างที่มีขนาดเท่า ๆ กัน รวมทั้งไส้ที่บีบพอดีขอบให้เห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ตลอดทั้งชิ้น






ขนมมาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส มีส่วนประกอบหลักของ Almond น้ำตาล และไข่ขาว มีลักษณะคล้ายคุ้กกี้ชิ้นเล็กสองอันประกบกันมีไส้ตรงกลาง มีสีสันสดใส กรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ตรงกลางด้วยกานาช (Ganache) มีหลายรสชาติ เช่น ช็อกโกแลต สตรอเบอร์ รี่ วานิลลา อัลมอนด์ หรือผลไม้ตามฤดูกาล เป็นต้น และมักนิยมทานคู่กับชา หรือ กาแฟ


มาการอง เป็นที่รู้จักครั้งแรกในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง เนื้อสัตว์ โปรตีนไม่มีให้รับประทานมากมายนัก เหล่าแม่ชีชาวอิตาเลียนที่อพยพมายังประเทศฝรั่งเศสจึงดำรงชีพอยู่ด้วยอัลมอนด์ เพราะมีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้เนื้อสัตว์ โดยนำมาประกอบเป็นอาหารหรือขนมหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ ขนมจากอัลมอนด์ ซึ่งต่อมากลายเป็นของหวานที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบมาจนถึงปัจจุบัน

สเน่ห์ของมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเท่านั้น ว่ากันว่ามาการองที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่รูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ส่วนที่สำคัญคือ “Foot” บางตำราเรียก ”Skirt” รอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงที่บางกรอบ ซึ่งมีวิธีการทำที่ยุ่งยากพอควร อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ กลิ่นหอมหวาน เคล็ดลับอยู่ที่หลังจากนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันแล้ว ต้องเก็บไว้ในที่เย็น 1 คืน เพื่อให้ไส้รสชาติต่าง ๆ ซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ นอกจากนี้ความชื้นจากไส้ยังทำให้มากาฮองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวอีกด้วย

มาการองเรนโบว์
ส่วน มาการูน (Macaroon) คือขนมที่ชาวอเมริกันดัดแปลงจากมากาฮองของประเทศฝรั่งเศสโดยใช้มะพร้าวป่น แทนอัลมอนด์บด ทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกขนมชนิดนี้ว่า “Coconut Macaroon” นิยมจุ่มลงในซอสช็อกโกแลตก่อนรับประทาน แต่ในศตวรรษที่ 20 ของหวานสไตล์ฝรั่งเศส เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศสหรัฐอเมริกา มาการูน จึงได้รับความนิยมน้อยลง บวกกับมะพร้าวหาได้ยากและมีราคาแพง ร้านขนมต่าง ๆ จึงหันมาใช้อัลมอนด์บดเหมือนมากาฮอง อันเป็นที่มาของความสับสนระหว่าง 2 คำนี้
**ใน ประเทศอังกฤษ ยังเรียก “Macaron” ว่า “Macaroon” เนื่องจากเป็นที่รู้จักและมีความเป็นสากลมากกว่า**

credit : นิตยสาร Food Paperฉบับที่ 70เดือนมีนาคม 2553หน้า 18-19

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

Mini Berries Cheese Cake มินิเบอรี่ชีสเค้ก
























ส่วนผสม
แครกเกอร์บดละเอียด 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
เนยละลาย 6 ช้อนโต๊ะ
ครีมชีส(8 ออนซ์) 2 ก้อน (อุณภูมิห้อง )
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
วิปปิ้งครีม 6 ช้อนโต๊ะ
ซาวด์ครีม 1/2 ถ้วย (ส่วนตัวใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทน)
ไข่ไก่ 2 ฟอง (อุณภูมิห้อง)
กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
ผิวเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ (ส่วนตัวตอนทำไม่ได้ใส่ผิวเลมอน เป็นมะนาวลูกเหลืองๆ มีแต่มะนาวเขียวเลยบีบน้ำใส่ไปแทน รสชาติใช้ได้เลยนะ ใส่ไป 1 ลูกค่ะ)

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 325 F
2. นำแครกเกอร์บดกับเนยละลายและน้ำตาลให้ชามผสม ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นนำไปกรุในพิมพ์ Spingfrom ขนาด 9 นิ้ว ที่เตรียมไว้แล้วพักไว้ก่อน
3. ตีครีมชีสกับน้ำตาลใช้ความเร็วต่ำให้เนียน จากนั้นใส่แป้ง แล้วใส่ไข่ลงไปทีละฟอง ตีผสมให้เข้ากันดี เติมวิปปิ้งครีม ซาวด์ครีม กลิ่นวานิลลาและผิวมะนาวตามลงไป ตีผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อครีมเนียนจากนั้นเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้
4. อบชีสเค้กในเตาอบเป็นเวลา 45-60 นาที เมื่ออบเสร็จให้ปิดเตาอบแล้วทิ้งเค้กใว้ในเตาอบประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อกันไม่ให้เค้กหน้าแตก แล้ววางให้เย็นในอุณหภูมิห้อง ประมาณ 2 ชั่วโมง จึงนำเข้าแช่ตู้เย็น อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเสริฟ เวลาจะเสิร์ฟก็ตกแต่ง ด้วย ซอสผลไม้ หรือ Topping อื่นๆ ตามชอบได้เลย

สูตรนี้ตามเจ้าของสูตรเค้าอบในพิมพ์ขนาด 9 นิ้ว ดิฉันดัดแปลงตามใจตัวเองอีกแล้วอ่ะค่ะ ก็ออกมาอย่างที่เห็น ใช้ได้เหมือนกันนะ
ส่วนท็อปปิ้งก็ใช้เบอรี่กระป๋องที่เค้าไว้แต่งหน้าเค้ก มาราดง่ายดี แล้วแต่งด้วยเบอรี่สดให้ดูหรูหราขึ้น..

credit :  http: //thailyblog.blogspot.com/2009/08/mini-berry-cheese-cake.html